๓ วงมโหรี |
๔ วงมโหรีเครื่องคู่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วงปี่พาทย์ได้เพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กกลายเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงมโหรีก็เพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กบ้าง ทั้งเพิ่มซอด้วง ซออู้ ขึ้นเป็นอย่างละ๒ คัน จะเข้เพิ่มเป็น ๒ ตัว ขลุ่ยนั้นเดิมมีแต่ขลุ่ยเพียงออก็เพิ่ม ขลุ่ยหลิบ (เลาเล็ก) ขึ้นอีก ๑ เลา เหมือนในวงเครื่องสาย ส่วนซอสามสายก็เพิ่มซอสามสายหลิบ (คันเล็กและเสียงสูงกว่า) อีก ๑ คัน เครื่องประกอบจังหวะคงเดิม เรียกว่า วงมโหรีเครื่องคู่ |
วงมโหรีเครื่องคู่
*ข้อสังเกต* จำนวนเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันจะมีเป็นคู่ ซอสามสายกับขลุ่ย จะมีคู่ที่มีขนาดเล็กและเสียงจะแหลมกว่า เรียกว่า “หลิบ” เช่นขลุ่ยหลิบ ซอสามสายหลิบ (ปัจจุบัน หาซอชนิดนี้ได้น้อย) |
๕. วงมโหรีเครื่องใหญ่
ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ วงปี่พาทย์ได้เพิ่มระนาดทุ้มกับระนาดเอกเหล็กขึ้นอีก ๒ ราง กลายเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ มโหรีจึงเลียนแบบ โดยเพิ่มระนาดทุ้มเหล็กขึ้นบ้าง ส่วนระนาดเอกเหล็กนั้นเปลี่ยนเป็นสร้างลูกระนาดด้วยทองเหลียง เพราะเทียบให้เสียงสูงไพเราะกว่าเหล็ก เรียกว่าระนาดทองรวมทั้งวงเรียกว่าวงมโหรีเครื่องใหญ่ ซึ่งได้ถือเป็นแบบปฏิบัติใช้บรรเลงมาจนปัจจุบันนี้ บรรดาเครื่องดนตรีต่างๆ ที่วงมโหรีได้เลียนแบบมาจากวงปี่พาทย์ คือ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก (เป็นระนาดทอง) ระนาดทุ้มเหล็ก (บางวงทำด้วยทองเหลือง เรียกว่า ระนาดทุ้มทองก็มี) ฆ้องวงใหญ่ และฆ้องวงเล็กนั้น ทุกสิ่งจะต้องย่อขนาดลดลงให้เล็กเพราะสมัยโบราณผู้บรรเลงมโหรีมีแต่สตรีทั้งนั้น จึงต้องลดขนาดลงให้พอเหมาะแก่กำลังอีกประการหนึ่งการลดขนาดเครื่องตีเหล่านี้ลงก็เพื่อให้เสียงดังสมดุลย์กับเครื่องดนตรีประเภทดีดสี มิฉะนั้นเสียงจะดังมากกว่าพวกเครื่องดีดและเครื่องสี |
วงมโหรี ใช้ในงานมงคลงานทำบุญบ้าน งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานเลี้ยงรับรอง หรืองานมงคลต่างๆที่เน้นฟังไพเราะนุ่มหู ระดับเสียงอยู่กลางๆ ไม่เสียงดังเกินไป(ได้ทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน)เหมาะกับงานที่มีพื้นที่จัดงานกว้างเพราะเครื่องดนตรีมีจำนวนมาก ต้องเลือกชนิดวงมโหรีให้เหมาะสมกับพื้นที่จัดงาน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น